การเกิดขึ้นของ 5 ส. ในญี่ปุ่นไม่ได้เกิดเป็น 5 ส. ในรูปแบบที่ชัดเจนแต่พัฒนามาจากแนวคิดในเรื่องการควบคุมคุณภาพ (Quality Control : QC)กล่าวคือญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาที่เข้ายึดครองญี่ปุ่นได้เรียกร้องให้มีการักษาคุณภาพของชิ้นส่วนอุปกรณ์ โทรคมนาคมที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นเพราะขณะนั้นสินค้าของญี่ปุ่นด้อยคุณภาพมากจากปัญหาดังกล่าวนี่เองทางอเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญมาดูแลและให้ความรู้ส่งให้ญี่ปุ่นกลับมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของตัวเองทั้งทางด้านเศรษฐกิจและด้านบุคคลากรในที่สุด
5ส.เข้ามาสู่ประเทศไทยได้อย่างไร สำหรับประเทศไทยนั้น บริษัทเอ็นเอชเค สปริง (ประเทศไทย) จำกัดเป็นบริษัทแห่งแรกที่นำกิจกรรม 5 ส. มาใช้ในช่วงปี พ.ศ. 2522 จากนั้นในช่วงปี พ.ศ.2526 บริษัทสยามคูโบต้า อุตสาหกรรมจำกัด(กลุ่มบริษัทในเครือซีเมนต์ไทย)ได้นำ5ส.มาดำเนินการในโรงแรมและเผยแพร่ความรู้นี้ให้กับบริษัทที่สนใจ
ความหมายโดยรวมคือการจัดระเบียบและปรับปรุงที่ทำงานสถานประกอบกิจการและงานของตนด้วยตนเองเพื่อก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ปลอดภัย มีระเบียบเรียบร้อย มีคุณภาพและประสิทธิภาพ หรืออีกนัยหนึ่งกระบวนการในการจัดสถานที่ทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยมุ่งเน้นที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพของการทำงานและจิตสำนึกในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่ดีของผู้ปฏิบัติงาน
5 ส มาจากคำย่อ “5 S” ซึ่งเป็นอักษรตัวแรกในภาษาญี่ปุ่น 5 คำคือ
1.การแยกแยะสิ่งของต่างๆ ให้ชัดเจน คือ “สะสาง”
2. การจัดหมวดหมู่สิ่งของให้ง่ายต่อการใช้ คือ “สะดวก”
3. การรักษาความ “สะอาด” สิ่งของเครื่องใช้ของตนเองอย่างทั่วถึง
4. หมั่นทำ 3 ประการแรก โดยยึดถือหลัก “สุขลักษณะ” เป็นสำคัญ
5. ทำกิจกรรมทั้งหมดอย่างต่อเนื่องจนเคยชิน กลายเป็นการ “สร้างนิสัย” ให้มีระเบียบวินัย
2. การจัดหมวดหมู่สิ่งของให้ง่ายต่อการใช้ คือ “สะดวก”
3. การรักษาความ “สะอาด” สิ่งของเครื่องใช้ของตนเองอย่างทั่วถึง
4. หมั่นทำ 3 ประการแรก โดยยึดถือหลัก “สุขลักษณะ” เป็นสำคัญ
5. ทำกิจกรรมทั้งหมดอย่างต่อเนื่องจนเคยชิน กลายเป็นการ “สร้างนิสัย” ให้มีระเบียบวินัย
5 ส. ใช้เพื่อ 1.5 ส.เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2. 5 ส.เป็นรากแก้วและเป็นพื้นฐานของระบบคุณภาพและผลผลิต 3.5 ส.เป็นเรื่องเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ 4. 5 ส.นำไปสู่เรื่อง ISO TPM TQM
ประโยชน์ของ 5 ส.
1.ประโยชน์ต่อตนเอง 2.ประโยชน์ต่อเพื่อนพนักงาน 3.ประโยชน์ต่อองค์กร 4.ประโยชน์ต่อสังคม 5.สิ่งแวดล้อม 1.การทำ 5 ส.ก็มักจะบ่นว่าเป็นเรื่องจุกจิกบ้าง เสียเวลาทำงานบ้าง บางคนถึงขนาดบอกว่าของที่วาง(สุมๆ)อยู่บนโต๊ะดีๆ มาให้ย้ายให้เปลี่ยน เวลาจะหยิบใช้เลยหาไม่เจอซึ่งบรรดาพนักงานที่บ่นอย่างนั้นแสดงว่า ยังเข้าใจ 5 ส. อย่างเผินๆเข้าใจว่า 5 ส. คือการจัด “โต๊ะทำงาน”เท่านั้น
2.พนักงานเต็มใจหรือพร้อมที่จะทำ 5 ส. แต่กลับลงมือทำ 5 ส.กันอย่างผิดทางการที่หน่วยงานอ้างว่าทำกิจกรรม 5 ส ไม่ได้ เพราะไม่มีงบประมาณนั้นแสดงให้เห็นว่ายังไม่เข้าใจกิจกรรม 5 ส. เพราะหลักของ 5 ส.คือต้องใช้ของเก่าให้เกิดประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
3.ที่ต้องระวังและต้องสร้างความเข้าใจคือพวกพนักงานที่“ขี้เกียจ” โดยเฉพาะไม่อยากมานั่งสะสาง พวกนี้จะใช้วิธีทิ้งหมดทุกอย่างเพื่อให้เสร็จเร็ว ของที่ใช้หรือของที่จำเป็นจะถูกโยนลงถังโดยไม่รู้ตัวตรงนี้จึงต้องกำชับว่า การทำ 5 ส.ไม่ได้มีเป้าหมายคือก้มหน้าก้มตาทิ้งแต่เพียงอย่างเดียวแต่คือการคัดการแยกหาของที่จำเป็นกับไม่จำเป็นถ้าคุณทิ้งโดยไม่คิดผลเสียจะตามมาภายหลัง
1.กำหนดนโยบาย 2.จัดตั้งคณะกรรมการ 3.จัดทำแผนดำเนินการ 4.แบ่งพื้นที่รับผิดชอบ 5.เริ่มดำเนินการด้วย Big Cleaning Day 6.ปฏิบัติการตามแผน 5ส 7.ตรวจพื้นที่เพื่อแก้ไขปรับปรุงโดยสมาชิกภายในพื้นที่เอง
8.คณะกรรมการตรวจสอบและประเมิน5ส 9. ตั้งเป็นมาตรฐาน 10.รักษาไว้และปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
นายอภิชา ประกอบเส้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น